<<< รวมวีดีโอสอน   Home  
 
 
คนมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็น
Free Web Site Counters


 
เรื่องราวน่ารู้


       
 
           
   

"ฝึกสมองให้ไบร์ท"             กลับด้านบน

   
     

ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับการฝึกสมองให้ไบรท์หรือเฉลียวฉลาดขึ้นค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับวัยเรียนและสำหรับคนทำงานที่ใช้สมองจนอ่อนล้าไปมากแล้วส่วนว่าจะ
มีเทคนิค
อะไรกันบ้างนั้น เชิญติดตามกันได้เลยค่ะ

1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวก
น้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่
ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่นค่ะ
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นท
ี่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอด
ขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

   
   

"5 เทคนิคเรียนเก่งระดับเทพ"             กลับด้านบน

   
         เป็นเทคนิคเรียนเก่งระดับเทพ ที่จะแนะนำเกี่ยวกับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนซึ่งเป็นเทคนิคเรียนเก่งง่าย ๆ ที่ น้องๆนักเรียนทุกคน สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ หัวใจของเทคนิคการเรียนเก่งเทคนิคนี้ คือต้องทำตามขั้นตอนอยู่เสมอๆ เชื่อเหลือเกินว่าหากทำได้ดังนี้แล้วเกรดที่อยากได้คงไม่ไกลเกินเอื้อม มาดูกันเลยดีกว่าว่าควรทำอย่างไรบ้างเริ่มต้นกันด้วย 

1.หาเวลาในการอ่านทบทวนบทเรียน และ เวลาอ่าน ให้อ่านอย่างตั้งใจ และ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่อ่าน การอ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ หรือ อ่านเอาปริมาณ เป็นการอ่านหนังสือที่ไม่มีคุณภาพ และ เท่ากับว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ 

2.เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ให้ลองเปิดหนังสือแล้วสรุปสิ่งที่อ่านมา ตามความเข้าใจของเราให้ตัวเองฟังอีกครั้ง หรืออีกครั้ง แล้วลองดูว่าเราสามารถเข้าใจจากสิ่งที่เราสรุปได้หรือไม่ หากฟังแล้วรู้สึกว่าทำไมไม่ค่อยเข้าใจก็ให้อ่านอีกครั้ง แล้วสรุปอีกรอบ หากรู้สึกว่าเข้าใจแล้วให้ อ่านส่วนอื่นๆ ต่อไปได้ 

3.ถามตัวเองว่าเข้าใจสิ่งที่อ่านอยู่หรือเปล่า อย่าอ่านผ่านๆไปจนจบแล้วก็ยังงงๆว่าอ่านอะไรไป เพราะการอ่านด้วยความเข้าใจจะสามารถส่งผลดีกว่าการอ่านเพื่อความจำเพียงอย่างเดียว เทคนิคเรียนเก่ง เทคนิคนี้ ง่ายมากๆ เลยหล่ะ 

4.ถามหากไม่เข้าใจ หากอ่านไปแล้วเจอในส่วนที่เราไม่เข้าใจ หาคำตอบไม่ได้ หรือ อ่านหลายรอบต่อหลายรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ให้เราจดคำถาม หรือ ปัญหา ที่พบเจอ ไปถามอาจารย์ เพื่อหาคำตอบ เมื่อได้คำตอบมากแล้วก็ให้ทำความเข้าใจอีกครั้งหนึ่งด้วย 

5.จำในส่วนสำคัญให้แม่น ข้อมูลจำเพาะเจาะจงบางอย่างก็ควรต้องทำความเข้าใจ และต้องจำให้แม่น เช่นสูตรการคำนวนหากค่าของสิ่งของต่างๆ 
   
   

"4 วิธีเรียนเก่ง ความลับง่ายๆ"             กลับด้านบน

   
     

1. ต้องแบ่งเวลาให้เป็น

   วิธีเรียนเก่งข้อแรกคือ ต้องแบ่งเวลาให้เป็น นั่นหมายความการแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เล่นเกมส์
อ่านการ์ตูน เล่นกีฬา ดูหนัง แม้ว่าเราจะทำกิจกรรมเหล่านี้เหมือนเดิมทุกวันก็ต้องอย่าลืมหาเวลาในการอ่านนหนังสือนอกห้องเรียนวันละไม่
น้อยกว่า
สามสิบนาที เป็นวิธีเรียนเก่งง่าย ๆ ที่ ได้ผลมานักต่อนัก 

2. ทบทวนบทเรียน ทั้งก่อน และ หลังเรียน

   วิธีเรียนเก่งวิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่า วันนี้เราจะเรียนอะไรโดยดูผ่านๆ แค่หัวข้อใหญ่ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และเมื่อเรียนเสร็จแล้วก็มาทบทวว่า วันนี้เราเรียนอะไรไปบ้าง ทำแบบนี้ทุกวัน เนื้อหาบทเรียนจะเชื่อมต่อกันเอง
ทั้งเทอม จนทำให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น 

3. อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง

   วิธีเรียนเก่งวิธีนี้อยากให้ทุกคนจำไว้ ว่าหากมีงานอะไรก็ให้ทำเลย เพราะจะได้ทบทวนบทเรียน ที่เรียนมาในวันนั้น และไม่ต้องมาลำบากเร่งทำในช่วงก่อนสอบ เพราะนอกจากเราอาจจะทำไม่ทันแล้ว อาจจะทำให้เราไม่มีเวลาดูว่า งานชิ้นนั้นทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และดีไม่ดี ก็อาจจะเป็นแนวก็สอบก็ได้ 

4. ไม่อ่านหนังสือแบบอัดก่อนสอบ

                                                                                                                                            อย่างที่แนะนำกันมาแล้วในข้อแรกว่าให้ทบทวนบทเรียนในแต่ะละวันอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าวันละครึ่งชั่วโมง เนื่องจากมีการวิจัยพบว่า สมองคนเราจะสามารถจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ค่อย ๆ จำ ค่อย ๆสะสมไปเรื่อย ๆ ได้มากกว่าการอัดข้อมูลเข้ามาเพียงครั้งเดียว และข้อเสียของการอัดอ่านหนังสือก่อนสอบ ข้อแรกอาจจะไม่ทันเอาเพราะมีเหลายเรื่องหลายวิชา แต่ละวิชาก็หลายคนบทเรียน และหากอ่านทันก็จะจะได้ไม่หมด เพราะมันเยอะเกินไปที่สมองของคนเราจะสามารถจดจำได้หมดนั่นเอง
   
   

"1 วันมี 24 ชั่วโมงจริงหรือ"             กลับด้านบน

   
     

ตามที่เราเข้าใจกัน 1 วันคือเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ (ตามความเข้าใจ 24 ชั่วโมง) และการเกิดน้ำขึ้น น้ำลงในมหาสมุทรต่างๆ ก็ก่อให้เกิดแรงเสียดทาน กับขั้วโลกที่รองรับ เป็นผลให้โลกหมุนช้าลงวันละ 1/23 ล้านวินาที และจากการศึกษาปะการังโบราณ ก็พบความแตกต่างของเวลสว่า เมื่อ 400 ล้านปีก่อน 1 วันมีเพียง 22 ชั่วโมงเท่านั้น และแม้กระทั่งปัจจุบัน โลกก็ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองจริงๆ เพียง 23 ชั่วโมง 56 นาที 4 วินาที

ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอีกประมาณ 15 ล้านปี ใน 1 วันจึงจะมี 24 ชั่วโมงอย่างแท้จริง แต่ก็พออนุโลมได้ว่า 1 วัน มี 24 ชั่วโมง ก็คงจะไม่แปลกอะไร

ที่มา: หนังสือ 108 ซองคำถาม เล่ม 3

   
   

"วัยรุ่นไอคิวสูง....มีเซ็กว์ช้า"             กลับด้านบน

   
     

อาจเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า วัยรุ่นไอคิวสูงจึงมีเซ็กซ์ช้า

เอ...ทำไมเซ็กส์จึงเกี่ยวข้องกับความฉลาดด้วยล่ะ อย่าเพิ่งแปลกใจเพราะจากการศึกษาของนักวิชาการหลายสำนักในอเมริกาซึ่งทำในระหว่างปี 2000-2005 ต่างเห็น
พ้องกันว่า วัยรุ่นที่มีไอคิวสูงมักคงความบริสุทธิ์ทางเพศได้นานกว่าวัยรุ่นที่มีไอคิวต่ำกว่า ที่น่าประหลาดใจก็คือ วัยรุ่นชายที่มีไอคิวระหว่าง 70-90 มีจำนวน 50.2% ที่ยังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ ในขณะที่เด็กหนุ่มที่มีไอคิว 90-110 และรวมทั้งวัยรุ่นชายที่มีไอคิวมากกว่า 110 เป็นหนุ่มบริสุทธิ์ถึง 70.3% แสดงให้เห็นว่าไอคิวยิ่งสูงก็ยิ่งคงความ
บริสุทธิ์ไว้ได้นาน จึงเป็นที่สงสัยกันว่า คนฉลาดเป็นคนขี้อายหรือเปล่า แต่ทั้งนี้ นักเขียนชาวอังกฤษ อัลดัส ฮักซ์เลย์ ได้ให้เหตุผลว่า คนกลุ่มนี้อาจค้นพบสิ่งที่น่าสนใจในตัวคนมากกว่าเซ็กส์ ยังสนุกสนานกับวัย ชอบอ่านหนังสือหรือตั้งหน้าตั้งตาในการให้ได้มาซึ่งหน้าที่การงานหรืออาจหาคู่ที่มีสติปัญญาความคิดใกล้เคียง
กันยากก็เป็นได้

   
   

"ผลไม้เสริมความจำ"             กลับด้านบน

   
     

การรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวอย่างองุ่นและบลูเบอร์รี่เป็นแหล่งอุดมไปด้วย วิตามินซี ที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ประโยชน์ของผลไม้ทั้งสองชนิดไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะจากการศึกษาโดยทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยซินซินนาติ สหรัฐอเมริกาพบว่า องุ่นพันธุ์คองคอร์ดและบลูเบอร์รี่ป่าช่วยให้ความจำดีขึ้นได้

ทีมวิจัยได้ทำการศึกษากับผู้สูงอายุ 2 กลุ่มที่มีปัญหาด้านความจำตามวัย พบว่ากลุ่มผู้สูงอายุ 12 คนที่ดื่มน้ำองุ่นคองคอร์ดเป็นประจำนาน 3 เดือนเริ่มมีความจำดีขึ้น เพราะน้ำองุ่นคองคอร์ดมีผลต่อการส่งสัญญาณประสาท กระตุ้นความจำ รวมทั้งมีสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ด้วย

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ 9 คนที่ดื่มน้ำบลูเบอร์รี่ป่าต่อเนื่องนาน 3 เดือน พบว่าความจำเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เพราะสารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รี่ป่าไปช่วยเพิ่มสัญญาณเส้นประสาทบริเวณ สมองส่วนกลางและลดอัตราการเสื่อม ของเส้นประสาท

จากงานวิจัยทั้งสองชิ้นทำให้ได้ข้อสรุปว่า น้ำองุ่นและน้ำบลูเบอร์รี่ไม่เพียงแค่แก้กระหายเท่านั้น แต่ยังช่วยเรื่องสมองและความทรงจำได้อีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สาระน่ารู้.com

   
   

"นั่งขีดเขียนเล่นๆ ทำให้สมองตื่นตัวตลอดเสมอ"             กลับด้านบน

   
     

นักวิจัยได้ค้นพบว่า การขีดเขียนอะไรเล่น ๆในห้องเรียนหรือในห้องประชุมทำให้สมองตื่นและความจำดี

คณะนักวิจัยมหาวิทยาพลี มัธ ได้ ทดลองทดสอบความจำกับอาสาสมัครซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยกัน 40 คน โดยให้คอยรับโทรศัพท์ และให้จำชื่อกับสถานที่เอาไว้ ปรากฏว่าคนที่ชอบขีดเขียนอะไรเล่น ๆ ไปด้วยจะจำได้ดีกว่าถึงร้อยละ 29

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า การขีดเขียนมันป้องกันไม่ให้เกิดหลับใน ซึ่งมักจะทำให้ความสนใจถูกหันเหไป และยังช่วยให้คนยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ได้

แจ๊คกี้ แอนเดรด หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า 'ไม่ว่าใครหากทำงานอันน่าเบื่อ อย่างเช่นรับฟังเรื่องสนทนาทางโทรศัพท์ที่น่าเหนื่อยหน่าย มักจะหลับใน การฝันกลางวันทำให้ลืมเรื่องงานไป ทำให้เสียงาน การขีดเขียนอะไรง่าย ๆ ทำให้ไม่หลับ

   
   

"เทคนิคเพิ่มความฉลาด"             กลับด้านบน

   
     

ใครที่รู้สึกว่าสมองอ่อนล้า เฉื่อย ชา และความจำถดถอย เรามีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้กับสมองมาฝาก...

1. บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อย เท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง

2. กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้

3. กินผักและผลไม้สด
เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็น เวลานานของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และ ช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้น สูงที่เรียกว่า Anthocyanidin

4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย

5. ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย

6. จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

7. ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม

   
   

"ทำไมคนฉลาดจึงตัดสินใจโง่ๆ"             กลับด้านบน

   
     

มีข้อคิดที่อยากจะฝากพวกเราคือ คนคนเดียวกันเวลาต่างกันความเฉลียวฉลาดไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นใจเขานิ่งขนาดไหน ขณะเดียวกันคนสองคนถ้าบอกว่า คนหนึ่งหัวดีกว่าอีกคนหนึ่ง ฉลาดกว่าอีกคนหนึ่ง ก็ไม่แน่เสมอไป เราพบว่าในบางสถานการณ์ นาย ก ก็ดูเหมือนฉลาดกว่านาย ข ถ้ารบกันก็ชนะ แต่บางครั้งนาย ข ก็กลับฉลาดกว่านาย ก ได้ ถามว่าเป็นเพราะอะไร ตรงนี้สำคัญ คนจำนวนมากมองข้าม จึงมองจุดบกพร่องของตัวเองไม่ออก

เราต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า ในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาด้วยดีแล้วผู้มีปัญญาก็มองออกว่า ควรตัดสินใจอย่างไรที่จะให้ผลดีที่สุด

แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ใจของเขาถูกกิเลสเข้าครอบงำ จะเป็นด้วยความอยากเด่นอยากดังก็ตาม ด้วยความระแวงก็ตาม ด้วยความอวดดื้อถือดีก็ตาม เขาก็จะตัดสินใจไปอีกแบบ ทั้งที่จริง ๆ ตนเองก็รู้ว่าตัดสินใจอย่างนี้ไม่ถูก มันควรต้องตัดสินใจอีกแบบ แต่เพราะว่าการตัดสินใจอีกแบบที่ถูกต้อง มันมาขัดกับกิเลสที่เข้าครอบงำอยู่ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวมันไม่เด่นมันไม่ดัง ก็เลยไปเลือกทำอีกแบบที่คิดว่ามันจะเด่นมันจะดัง เลือกทำอีกแบบที่เป็นลักษณะการมีทิฏฐิอวดดื้อถือดี

ปัญญาที่มีจึงเหมือนไม่มี เพราะไม่เลือกทำตามที่ปัญญาเห็น แต่กลับไปทำตามที่กิเลสสอน สุดท้ายก็พลั้งพลาดเสียทีไป

ใครเคยอ่านสามก๊ก คงจะจำบังทองได้ เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับขงเบ้ง ท่านว่ามีความฉลาดทัดเทียมกันเลย แต่สุดท้ายบังทองเพิ่งจะนำทัพออกรบช่วยเล่าปี่แค่ยกสองยกก็ตายเสียแล้ว ก่อนจะบุกเสฉวนก็ตายเสียก่อน ถูกข้าศึกวางกลลวงล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์จนตายถามว่ามือขนาดบังทองฉลาดแสนฉลาด ทำไมถูกกลศึกลวงเอาง่าย ๆแบบนั้น คำตอบเป็นเพราะความแข่งดีอยากจะเอาหน้าเอาตา ให้เหนือกว่าขงเบ้ง บังทองรู้สึกว่าตัวเองมาทีหลังขงเบ้ง จึงอยากจะสร้างผลงาน ทั้งที่จริงตนก็รู้ว่าบุกอย่างนี้ไม่ปลอดภัย เสี่ยงมากที่จะถูกกลศึก แต่ทั้ง ๆ รู้ก็ยังฝืนทำ เพราะหวังว่าถ้าสำเร็จจะได้หน้าได้ตา สุดท้ายก็เจอกลศึกข้าศึกจริง ๆ ถูกรุมยิงด้วยเกาทัณฑ์แย่ไปทั้งกองทัพตนเองก็ตายกลางศึก นี่เขาเรียกว่ากิเลสมันมาบังปัญญา ปัญญา ที่มีอยู่ก็เลยเหมือนกับไม่มี

โจโฉว่าเก่งแสนเก่งพออวดดื้อถือดีเข้าก็ย่ำแย่เสียหลายตอนบางครั้งสถานการณ์บังคับเตรียมจะสั่งถอยทัพอยู่แล้ว แต่เผอิญถูกขุนพลคนหนึ่งที่ตนเองหมั่นไส้อยู่ คือเอียวสิ้ว มารู้ทันความคิดตัวเองก็เลยสั่งจับเอียวสิ้วไปตัดคอเสีย แล้วฝืนไม่ถอยทัพ เพราะมีทิฏฐิจะทำให้เหมือนกับว่าเอียวสิ้วไม่ได้รู้ทันตัวเอง สุดท้ายกองทัพก็เลยย่ำแย่ถูกตีแตก ตนเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด

เมื่อถูกทิฏฐิมานะมาบดบัง ปัญญาของโจโฉที่มีก็เหมือนไม่มี

เพราะฉะนั้นพวกเราหากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่าให้กิเลสในตัวเป็นเครื่องชี้นำ ไม่ต้องไปแข่งดีกับใครเลย ขอเพียงให้เราตั้งใจสู้กับกิเลสในตัว สำรวจตัวเองให้ดีหมั่นแก้ไขข้อบกพร่องในตัวแก้ข้อบกพร่องตัวเองไปได้มากเท่าไร เราก็จะโดดเด่นขึ้นมา โดยไม่ต้องไปแข่งกับใคร ไม่ต้องไปยกตัวเองขึ้นมาเลย มันจะเด่นขึ้นมาเองไม่ต้องไปสู้กับใครเขาหรอก สู้กับกิเลสในตัวของเรานี่แหละ นี่คือหน้าที่หลักของทุกคน ท่านบอกว่าคนที่รบชนะคนอื่นเป็นร้อย ก็สู้คนที่รบชนะตัวเองคนเดียวไม่ได้ รู้หลักอย่างนี้แล้ว เรามีสติปัญญามากเท่าใดขอให้ใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ให้กิเลสทั้งหลายมาเป็นจุดอ่อนในตัวเรา จะเป็นทิฏฐิมานะก็ตาม ความอวดดื้อถือดีก็ตาม ความอยากเด่นอยากดังก็ตาม อย่าให้มาบดบังปัญญาของเราได้ เอากิเลสเหล่านี้ออกไป ปัญญาของเราก็จะฉายชัดมากขึ้น ๆ ซึ่งจะทำได้ด้วยการหมั่นทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีสติดีและใจมีพลังเอาชนะอำนาจกิเลสในตัวได้

ขอให้พวกเราทุกคนประสบความสำเร็จในการฝึกใจของเราให้เป็นสมาธิตั้งมั่น มีประสิทธิภาพในการประกอบกิจทั้งหลายทั้งทางโลกและทางธรรม ได้สำเร็จกันทุกท่านเทอญ

ขอขอบคุณข้อมมูลจาก : หนังสือทันโลกทันธรรม โดย พระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ

   
   

"แคลเซียมอัดเม็ดดีจริงหรือ"             กลับด้านบน

   
     

คนมักเข้าใจกันว่า ต้องกินแคลเซียมมากๆ กระดูกจะได้แข็งแรง

แต่จากการศึกษาของนักวิชาการ ไฮเคอ บิสชอฟฟ์ เฟอร์รารี จากสถาบันการแพทย์กายภาพ มหาวิทยาลัยซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์พบว่า วิตามินดีช่วยป้องกันกระดูกสะโพกหัก แต่แคลเซียมอัดเม็ดไม่อาจลดความเสี่ยงของกระดูกสะโพกหักได้ และในทางตรงกันข้ามยังพบว่าแคลเซียมอัดเม็ดเพิ่มความเสี่ยงกระดูกสะโพกหัก เพราะจากการศึกษาคนชราที่กินแคลเซียมอัดเม็ดเป็นประจำทำให้ร่างกายขาด ฟอสฟอรัส เนื่องจากแคลเซียมสำเร็จรูปขัดขวางการดูดซึมฟอสฟอรัสจากลำไส้ จึงส่งผลให้มีการสลายกระดูก แต่ผลิตภัณฑ์นมมีแคลแซียมและฟอสฟอรัส โปรตีน จึงน่าจะเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีกว่า ดังนั้นการกินแคลเซียมอย่างเดียวจึงไม่ได้เป็นข้อการันตีว่า จะไม่เป็นโรคกระดูกพรุน

   
   

"คิดยังไงให้เป็นคนเก่ง"             กลับด้านบน

   
     

หลายๆ ครั้งที่ได้เห็นคนเก่งๆ หรือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ พูดถึงแรงบันดาลใจในการคิดการทำสิ่งต่างๆ แล้วรู้สึกทึ่งในแนวความคิดที่แตกต่างจนทำให้สิ่งที่ทำนั้นประสบความสำเร็จ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครต่อใครอีกหลายๆ คน

สิ่งที่น่าสนใจ คือ พวกเขาเหล่านั้นมีพื้นฐานความคิดยังไง และมีวิธีคิดยังไงให้เกิดความแตกต่างและประสบความสำเร็จได้ ... ถ้าคุณอยากเป็นคนเก่งและมีความคิดที่สร้างสรรค์ล่ะก็ วันนี้เรามีวิธีคิดที่จะทำให้คุณ เป็นคนเก่งได้มาฝากกันค่ะ

คิดบวกและเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง

การมองโลกในแง่ดี และตั้งใจทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ด้วยความสดใสเบิกบานกับชีวิต และกระตือรือล้นกับสิ่งใหม่ๆ จะทำให้เราพร้อมที่จะยอมรับกับเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมั่นใจ และเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี

ความผิดพลาดคือครูของเรา

เราจะต้องรู้จักเปิดใจ และมองทุกอย่างตามความเป็นจริง ต้องรู้จักกลับมาคิดทบทวนว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เกิดจากจุดไหนบ้าง เพื่อที่จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ดีกว่าเดิม และไม่ผิดพลาดในจุดเดิม

อย่าทิ้งสิ่งที่ฝัน

ท่องจำให้ขึ้นใจว่าถ้าหากคิดจะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ต้องสร้างแรงผลักดันให้ตัวเองทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จให้ได้

มีไอดอลในหัวใจ

การมีไอดอลจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจและมีแนวทางในการคิด การทำสิ่งต่างๆ และนำจุดเด่นในตัวของไอดอลของเรามาเป็นแรงผลักดันให้เราทำตามความฝันได้

คนเราทุกคนย่อมมีไฟในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะกล้าจุดมันขึ้นมาเมื่อไหร่แค่นั้นเองถ้าอยากจะเป็นคนเก่ง ต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าลองที่จะแตกต่าง ... แล้วซักวันเราจะพบเส้นทางของเราค่ะ

   
   

"ของขวัญจากเวลา"             กลับด้านบน

   
     

เราทุกคนมีธนาคารเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา”
มันเข้าบัญชีให้คุณทุก ๆ 86,400 วินาที
ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชี ถือว่าขาดทุนตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดี ๆ
มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี

ในแต่ละวัน จะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ
ทุกค่ำคืน จะลบยอดคงเหลือของทั้งวันหมดออก

ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ระหว่างวัน ผลขาดทุนเป็นของคุณ
ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้
ไม่มีการถอนของ “วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้

คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ด้วยยอดเงินฝากของวันนี้
ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้ เพื่อผลตอบแทนมาสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ
นาฬิกากำลังเดิน ......... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

จะรู้คุณค่าของเวลา 1 ปี ให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้น
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 เดือน ให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 สัปดาห์ ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 ชั่วโมง ให้ไปถามคนรักที่กำลังรอตามนัดหมาย
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 นาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟ
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 วินาที ให้ไปถามคนที่รอดหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ
จะรู้คุณค่าของเวลา เสี้ยววินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งชนะได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิก

ทำทุกขณะที่คุณมี ให้มีค่า และทำให้มีคุณค่ามากขึ้นไปอีก
จงใช้มันร่วมกับคนพิเศษของคนให้พิเศษเพียงพอที่ ่จะใช้เวลาของคุณ
และจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคนเดียว
เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยากที่จะอธิบาย

เพราะวันนี้เป็นของขวัญนั่นไง จึงถูกเรียกว่า “PRESENT”

   
         
Free Web Hosting